กรุสำหรับ ตุลาคม, 2012

เรื่อง เบียร์ …เบียร์ 

ประวัติการผลิตเบียร์เป็นอย่างไร  

ในเรื่องประวัติความเป็นมาของเบียร์นั้นพบว่า มีการผลิตเบียร์เป็นเครื่องดื่มมาเป็นเวลานานเกือบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว โดยมีการค้นพบบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ราว ๒,๘๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่พูดถึงการแบ่งปันเบียร์และขนมปังให้กับผู้ใช้แรงงานในสมัยนั้น การทำเบียร์และบริโภคในสมัยนั้นพบว่า ใกล้เคียงกับข้อบัญญัติที่บังคับใช้ในสมัยของกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi, ๑๗๒๘ ถึง ๑๖๘๖ ก่อนคริสต์ศักราช) แห่งแคว้นบาบิโลเนีย (Babylonia) สมัยอียิปต์โบราณก็พบว่า มีการผลิตเบียร์และนิยมดื่มเบียร์กันอย่างกว้างขวาง โดยการพบหลักฐานที่เป็นภาพเขียนและภาพสลักเกี่ยวกับเรื่องราวของการผลิตเบียร์บนแผ่นหิน เบียร์ของอียิปต์ผลิตขึ้นโดยเอาขนมปังที่ทำจากแป้งข้าวบาร์เลย์ที่เอาเมล็ดข้าวบาร์เลย์มาเพาะให้รากงอกแล้วเอามาป่นหยาบๆ ผสมกับน้ำปั้นเป็นก้อน ต่อจากนั้นจึงเอาไปปิ้งไม่ต้องให้สุกดีแล้วเอาไปแช่น้ำหมักทิ้งค้างคืนไว้ ขนมปังจะเริ่มบูดโดยเชื้อยีสต์ในอากาศและเกิดแอลกอฮอล์ขึ้น เมื่อเอาไปกรองจะได้น้ำเบียร์สีขาวมีฟองรสเปรี้ยว ใช้เป็นเครื่องดื่ม บางครั้งอาจมีการเติมสมุนไพรลงไปเพื่อทำให้มีกลิ่นหอม ในดินแดนของชาวอินเดียนแดง ทวีปอเมริกาใต้ ก่อนที่ชาวฝรั่งผิวขาวจะยึดครองพบว่า ชาวอินเดียนแดงรู้จักผลิตสุราโดยใช้แป้งข้าวโพดมาทำเป็นส่าหมัก ในทวีปยุโรป เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในชนชาติเยอรมัน ซึ่งในสมัยก่อนจะผลิตกันภายในครอบครัวเหมือนการเตรียมอาหารประจำวัน โดยสตรีจะมีหน้าที่ผลิตด้วยวิธีการง่ายๆ ต่อมาการผลิตเบียร์ได้กระจายเข้าไปมีบทบาทในศาสนาคริสต์ โดยมีการผลิตในปริมาณมากขึ้น เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมงานทางศาสนา ชาวเยอรมันในสมัยโบราณรู้จักผลิตเบียร์ขึ้นก่อนประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป และตั้งชื่อของสุราประเภทที่ผลิตด้วยแป้งจากข้าวบารเลย์ที่เพาะให้รากงอกแล้วนำมาคั่ว บด ต้ม และนำไปหมักว่า บิเออร์ (Bior) เครื่องดื่มบิเออร์นี้ มีรสเปรี้ยวอมหวานและใช้บริโภคเป็นอาหารประจำวันหลักฐานทางโบราณคดียังพบว่า เมื่อนำกากแห้งที่ติดอยู่ในภาชนะดินเผาซึ่งขุดพบในซากเมืองโบราณมาวิเคราะห์จะพบว่า มีเบียร์ดีกรีสูงที่ผลิตจากข้าวสาลีผสมน้ำผึ้ง เบียร์ชนิดนี้ เรียกว่า อโล (Alo) ซึ่งน่าจะเพี้ยนมาเป็น เอล (Ale) ในยุคต่อมา

ในสมัยก่อนมีการนำพืชชนิดต่างๆ ที่มีกลิ่นหอม เช่น เครื่องเทศ และดอกไม้แห้งมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใส่ลงไปเพื่อให้เบียร์มีกลิ่นหอม ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๔ มีการนำดอกฮ็อพมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญของการทำเบียร์เพื่อให้มีกลิ่นหอมดังกล่าว รสและกลิ่นหอมของดอกฮ็อพเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค จึงนิยมกันอย่างแพร่หลายมาก จนดอกฮ็อพกลายเป็นของมีค่ามีราคาสูง และนิยมปลูกกันมาก ในศตวรรษที่ ๑๕ พบว่า วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตเบียร์มีปริมาณน้อยลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาพธรรมชาติทำให้เก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และฮ็อพได้น้อย จึงมีการนำพืชชนิดอื่นมาใช้แทนฮ็อพ ขณะเดียวกันก็มีการนำธัญชาติอื่นที่ใช้สำหรับทำขนมปังมาใช้แทนข้าวบาร์เลย์ ดังนั้น ในปี ค.ศ. ๑๕๑๖ จึงมีการตั้งกฎแห่งความบริสุทธิ์ (Purity law) ในประเทศเยอรมนี เพื่อกำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์ต้องใช้เฉพาะข้าวมอลต์ฮ็อพ และน้ำ เท่านั้นสำหรับการผลิตเบียร์เหตุผลก็คือ ต้องการให้ผู้บริโภคได้รับความยุติธรรมในเรื่องของราคาและคุณภาพเมื่อใช้วัตถุดิบที่เหมือนกัน และยังใช้กฎนี้มาจนทุกวันนี้ กฎดังกล่าวมิได้กำหนดบังคับใช้ในประเทศอื่น ดังนั้นจึงมีการนำเอาข้าวเจ้า ข้าวโพด มัน หรือน้ำตาลมาใช้เป็นส่วนผสมปนกับข้าวมอลต์ในการผลิตเบียร์

ประเภทของเบียร์
 
การแบ่งประเภทของเบียร์นั้นจะแบ่งได้หลายวิธีแต่วิธีหลักๆที่ใช้คือแบ่งตามประเภทของยีสต์ที่ใช้ในการหมัก โดยจะแบ่งเป็น 3 ปรเภทหลักๆ คือ
ยีสต์หมักลอยผิว (top-fermenting yeast)คือเชื้อยีสต์ที่จะลอยตัวอยู่ที่ผิวหน้าของเบียร์เมื่อเสร็จสิ้นการหมัก  ยีสต์หมักนอนก้น (bottom-fermenting yeast)คือเชื้อยีสต์ที่จะจมอยู่ที่ก้นภาชนะเมื่อเสร็จสิ้นการหมัก  ยีสต์ธรรมชาติ  เป็นการใช้เชื้อยีสต์ตามธรรมชาติไม่ได้ใช้เชื้อที่เพาะเลี้ยงขึ้นมา  นอกจากนี้การแบ่งประเภทยังแบ่งตาม สี, แหล่งผลิต, วัตถุดิบที่ใช้, กระบวนการผลิต, ปริมาณแอลกอฮอล์ และ อื่น ๆ
ประเภทยีสต์หมักลอยผิว เอล (Ale) พอร์ทเทอร์ (Porter) 

เบียร์ขาว, ไวท์เบียร์, ไวซ์เบียร์ (White beer)                  อัลท์เบียร์ (Alt beer)  เคิลช์ (Kölsch)  สเตาท์ (Stout)

ประเภทยีสต์หมักนอนก้น ลาเกอร์ (Lager)  พิลเซ่นเบียร์ (Pilsen beer)  เบียร์ดำ, ดาร์คเบียร์(dark beer)  บ๊อคเบียร์ (Bock beer)
ประเภทยีสต์ธรรมชาติ ลัมบิค (Lambic)
การแบ่งประเภทเบียร์แบบอื่นๆ เบียร์สด (Draught beer) หมายถึง เบียร์ที่ทำการเสิร์ฟจากถังเบียร์ โดยไม่ได้บรรจุลงขวด หรือกระป๋อง  ไลท์เบียร์ (Light beer) หมายถึง เบียร์ที่มีแคลอรี่ และ แอลกอฮอล์ต่ำมีสีอ่อน และ รสชาดที่จืดชืดกว่า โดยจะมีรสขมน้อย และไม่หลงเหลือรสชาติติดปากหลังการดื่ม  ไอซ์เบียร์ (Ice beer)

ดื่มเบียร์อย่างไรให้ได้รสชาติ

ควรดื่มเบียร์ที่อุณหภูมิระหว่าง 8 – 12 c เพราะเป็นอุณหภูมิที่ทำให้ได้ลิ้มรสชาติเบียร์อย่างเข้าถึงนักดื่มเบียร์ส่วนใหญ่นิยมดื่มเบียร์ที่เย็นจัดมาก ๆ โดยเฉพาะในประเทศแถบร้อนความจริงแล้วการดื่มเบียร์ที่เย็นจัดมาก ๆแม้จะให้ความสดชื่นแต่จะไม่ได้รสชาติที่แท้จริงของเบียร์การรินเบียร์เป็นส่วนสำคัญมากอีกขึ้นตอนหนึ่งต้องใช้แก้วที่สะอาดและเย็นจนมีเกร็ดน้ำแข็งเกาะที่สำคัญก่อนดื่มเบียร์ควรเริ่มจากซอฟต์ดริ้งค์ก่อนการรินเบียร์ทุกครั้งจะเกิดฟองเพราะแรงดันสูง

การรินเบียร์แบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือรินครั้งแรกประมาณ 3 ใน 4 ของแก้วเพื่อเก็บพื้นที่ส่วนที่เหลือให้ฟองเบียร์รอสักครู่จึงรินเบียร์เพิ่มเพื่อให้ฟองเบียร์ลอยขึ้นไปอยู่เหนือปากแก้วเบียร์ที่มีคุณภาพดีจะมีฟองสวย รสขมเล็กน้อย เราจะเห็นฟองเบียร์เล็ก ๆละเอียดอ่อนอยู้สูงขึ้นมาประมาณ 4 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนดอกไม้แรกผลิและจะไม่หมดฟองไปง่าย ๆ แม้จะตั้งทิ้งไว้ก็ตาม

 

วิธีดื่มเบียร์ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ชนิดใดก็ตามสิ่งที่บ่งบอกได้ถึงคุณภาพของเบียร์ดูจะเป็นสิ่งเดียวกันนั่นคือกลิ่น (Aroma) และรสชาติ (Flavour) การชิมเบียร์ไม่มีกรรมวิธีพิเศษยุ่งยากใด ๆ และนี่คือ 4 ขั้นตอนหลักสำหรับการดื่มด่ำกับกลิ่นและรสชาติเบียร์สด

1.มองด้วยตา (LOOK)

เบียร์ต่างสีเพราะมีความต่างของวัตถุดิบที่นำมาผลิตแต่ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ชนิดใดเมื่อรินใส่แก้วแวพิศดูด้วยสายตาจะมองเห็นความใสของเบียร์ทั้งพรายฟองต้องละเอียดนุ่มดุจเนื้อครีม เพียงความรูสึกแรกเมื่อมองด้วยสายตาเราก็สามารถได้ถึงรสชาติของอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น ๆไว้ระดับหนึ่งเล้ว

2.พาหมุนวน(SWIRL) 

หมุนวนแก้วเบียร์เพื่อให้ได้กลิ่นเบียร์ วนเพียงเบา ๆๆก้เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้เราได้กลิ่นหอมของดอกฮ็อปวัตถุดิบสำคัญตัวหนึ่งที่บ่งบอกได้ถึงคุณภาพและรสชาติของเบียร์ในมือคุณได้เป็นอย่างดี

3.สูดดมกลิ่น (SNIFF) เรามักจะได้กลิ่นหอมของเบียร์สดรสเลิศเสมอไม่ว่าจะตั้งใจสูดดมกลิ่นเบียร์ก่อนลิ้มรสชาติหรือไม่ก็ตามเพราะนั่นคือลักษณะเฉพาะของเบียร์ที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้เจริญอาหารอย่างที่สุด

4.จิบชิมลิ้มรส(SIP)

ขั้นตอนท้ายสุดของการชิมเบียร์กลิ่นและรสจะผสานไหลผ่านลิ้นและลำคอของเราขณะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบปลายลิ้นจะได้ลิ้มรสชาติหอมหวานจากมอลต์ เป็นอันดับแรกตามมาด้วยความซาบซ่าจากรสชาติของวัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตเบียร์ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรือธัญพืชและท้ายสุดคือรสขมกลมกล่อมของดอกฮ็อบ

 เติมศิลปะในการดื่มเบียร์กับเบียร์สดแก้วถัดไปของคุณแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความหมายและสีสันของการดื่มกินอย่างมีความสุข

ระดับความเมาเบียร์ของมนุษย์ สถาบันด๊อกเตอร์มาร์ตินได้แบ่งระดับความเมาเหล้าของมนุษย์ไว้ 5 ระดับด้วยกันคือ:

 

ระดับที่ 1: SMART(ฉลาด)  – เมื่อคนดื่มเหล้าเข้าไปเมาจนถึงระดับนี้ซึ่งเป็นระดับแรก จะรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล และมักจะชอบเผื่อแผ่ความรู้ให้ทุกๆคนในบาร์ ความเป็นจริงทุกอย่างในจักรวาลจะถูกนำออกมาเปิดเผยหมด ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นพอดิบพอดี และคุณจะรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่คนอื่นพูดมาจะเป็นเรื่องผิดไปหมด ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณมี จึงจะมีการเริ่มตั้งข้อโต้แย้งต่างๆกัน ระดับที่ 2: GOOD LOOKING(ดูดี)  – คุณจะเริ่มค้นพบว่าคุณมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีที่สุดในละแวกนั้นและทุกๆคนเริ่มที่จะ หันมาสนใจคุณเพราะคุณดูดี แน่นอนคุณสามารถเดินไปคุยกับทุกๆคนได้ทุกๆ เรื่องด้วยเพราะคุณทั้งดูดี และฉลาด

 

ระดับที่ 3: RICH(รวย)  – เมื่อเมาถึงระดับนี้คุณจะค้นพบว่าตัวเองนั้นมีเงินมหาศาล คุณสามารถที่จะเลี้ยงเหล้าทุกคนในบาร์ได้ เพราะคุณมีเงินมหาศาล และถ้าใครพูดอะไรผิดหูคุณสามารถที่จะท้าพนันได้ทุกเรื่องเพราะคุณยังฉลาดกว่าด้วย นอกจากนี้คุณยังดูดีมากๆด้วย ระดับที่ 4: BULLET PROOF(คงกระพัน) – เมื่อเมาถึงระดับนี้ตัวคุณจะมีวิชาคงกระพันแก่กล้ากว่าคนทั่วไปและ พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับทุกๆคนได้ เพราะไม่มีใครจะทำอันตรายคุณได้ คุณสามารถท้าพนันตีต่อยกับเพื่อนคุณก็ได้ และคุณก็ไม่กลัวแพ้ด้วย เพราะว่าคุณทั้งฉลาด, ทั้งดูดี, ทั้งรวยและต่อสู้เก่งระดับนักมวยอาชีพ

 

ระดับที่ 5: INVISIBLE(หายตัว)  – ระดับความเมาสุดยอด คุณต้องดื่มมากจึงจะเมาถึงระดับนี้ได้ด้วย ความเมาที่ระดับนี้คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ, จะไปเต้นรำบนโต๊ะ, แหกปากร้องเพลงกลางถนน, ไล่ตีหัวคนอื่นก็ทำได้เพราะไม่มีใครเห็นคุณ

   

 

 

ติดตามเรื่องราว เบียร์…เบียร์  :  http://www.xn--12cf7df4bdd2iqbyh5f.com/

เอาไง ดี หว่า …

กิน ๆ เที่ยว ๆ

lhttp://www.travelbyrailway.com/indexflash.html

     หลายคนดื่มฉลองหนักไปหน่อย จนเกิดอาการมึนเมา อาเจียน วิงเวียนศีรษะ บางคนเมาหนัก จะเอนกายลงนอนทีก็สุดแสนทรมาน ถึงขั้นต้องนั่งหลับยันสว่างก็มี แถมตื่นนอนขึ้นมา อาการเมาค้างก็ยังตามมาหลอกหลอนอีก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า อาการเมาค้างเกิดจากภาวะที่ร่างกายขาดน้ำมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันอาการเมาค้างที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีข้อแนะนำนักดื่มทั้งหลาย ว่า ไม่ควรจะปล่อยให้ท้องว่าง ควรจะรับประทานอะไรรองท้องให้อิ่มก่อน เพราะการปล่อยให้ท้องว่างนั้น จะสามารถดูดซับแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี

     โดยอาหารที่ควรรับประทานก่อนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ อาหารประเภทโปรตีนทั้งหลายแหล่เช่น ไก่ หรือ ไข่ เนื่องจากอาหารประเภทโปรตีนจะมีสารที่เรียกว่า ซิสเทอีน ซึ่งสารตัวนี้จะมีฤทธิ์ต้านอาการเมาค้างได้ดี ส่วนวิธีการปรุงอาหาร อาจจะนำมาทำเป็นเมนูง่าย ๆ เช่น ไข่ตุ๋น หรือ ซุปไก่ ไว้ซดน้ำ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักดื่มทั้งหลายอาจจะดื่มน้ำผลไม้ซึ่งให้วิตามินซี เช่น น้ำส้ม หรือ ดื่มนม ซึ่งให้แคลเซียมสูง ก็จะช่วยลดอาการเมาค้างได้เช่นกัน

     ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การรับประทานอาหารประเภทแป้ง อาหารมัน ๆ ทอด ๆ ทุกชนิด โดยเฉพาะการรับประทานอาหารมัน ๆ นั้น จะอยู่ในท้องนานเกินกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกพะอืดพะอม ลำไส้ และกระเพาะอาหารแปรปรวนเข้าไปอีก

     ในกรณีที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว รู้สึก มึน ๆ ศีรษะ นพ.กฤษดา แนะนำว่า พอเริ่มรู้สึกว่ามึน ๆ ปุ๊บ ให้รับประทานยาแก้ปวดปั๊บ เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะถ้ามัวชักช้า รีรอให้เมาจนได้ที่ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ถึงตอนนั้นยาแก้ปวดก็คงเอาไม่อยู่แล้ว

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือด เช่น กล้วยหอม หรือ กล้วยน้ำว้า อีกอย่าง คือ ในคนเมามักจะขาดวิตามินบี 1 และ บี 12 ก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามิน 2 ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น ซีเรียล ธัญพืช หรือผักใบเขียว เช่น คะน้า ก็ได้

นพ.กฤษดา บอกว่า คนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์แล้วมีอาการปวดศีรษะมาก จะนอนก็นอนไม่ได้นั้น เป็นเพราะร่างกายได้สูญเสียน้ำไปมากนั่นเอง ดังนั้นนักดื่มก็จะต้องรีบเติมน้ำเข้าไปในร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ อย่างไรก็ตามอาการปวดศีรษะ มีวิธีแก้ง่าย ๆ คือ พยายามมองภาพที่เป็นสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน จะช่วยลดอาการปวดศีรษะลงได้ แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้เมาค้าง ถ้ามีอาการปวดศีรษะ จะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ไม่ว่ากัน

ท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่า ข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่นักดื่มทั้งหลาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ควรพยายามลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หันไปดื่มเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่ควรดื่มจนเกินลิมิตของตัวเอง ถ้ารู้สึกมึน ๆ ก็น่าจะหยุดได้แล้ว มิใช่ฝืนดื่มจนร่างกายไม่ไหว.

อ้างอิงข้อมูลจาก  : http://women.thaiza.com

ทำไมต้องชนแก้ว แล้วค่อย \”เชียร์ส\” กิริยาเหล่านี้ แสดงออกถึง ความมีมิตรภาพตรงไหนกันนะ…
เชื่อไหม?… ว่า ที่มาของประเพณีชนแก้ว แต่เดิมนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องหมายความเป็นมิตรภาพหรอกค่ะ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นเครื่องหมายของ การไม่ไว้วางใจกัน
ในสมัยที่ยุโรป ยังไม่ศิวิไลซ์เหมือนกันปัจจุบัน มีการท้าดวลกันระหว่างศัตรูคู่อาฆาตอยู่เนืองๆ และเมื่อดวลกันไปพักหนึ่ง ต้องมีการหยุดพักดื่มเหล้าคนละแก้ว ก่อนจะกลับมาตะลุมบอนกันต่อ เพื่อเป็นการแน่ใจว่า จะไม่โดนอีกฝ่ายหนึ่ง เล่นไม่ซื่อ แอบใส่ยาพิษลงในเหล้า จึงต้องมีการชนแก้ว เพื่อถ่ายเหล้าของตนลงไปในเหล้าของอีกฝ่ายหนึ่งเล็กน้อย (ถ้าตาย จะได้ตายด้วยกันไปเลย)
ประเพณีนี้ได้สืบทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งการดวลดาบล้มหายตายจากไป แต่ประเพณีการชนแก้วยังอยู่ โดยในช่วงหลัง ได้ยกเลิกการถ่ายเหล้าไปมาระหว่างกันออก เพราะยุ่งยาก เหลือแค่ชนแก้ว กริ๊ก เฉยๆ ขณะที่ความ หมายก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลายเป็นเครื่องหมายของการเชื่อมสัมพันธไมตรี ทำไมความหมายถึงเปลี่ยน ไม่มีตำราไหนบอกไว้เสียด้วยซิ ก็เดากันต่อเอาเองก็แล้วกันนะคะ ส่วนตัวเดาว่า น่าจะมาจาก การยอมถ่ายเหล้าไปมาระหว่างกัน แล้วดื่ม แสดงว่า ต้องไว้ใจกัน นั่นหมายความว่า มิตรไมตรีย่อมเกิดขึ้นแล้ว

 

อ้างอิงข้อมูล  :  http://atcloud.com/stories/73451

ขอคุณอย่างมาก ทุกคลิป โดย  : http://www.youtube.com/results?search_query=รวมฮิต+เพื่อชีวิต&oq=รวมฮิต+เพื่อ&gs_l=youtube

Photo Kaolaopop

Posted: 12/10/2012 in รูปภาพ

This slideshow requires JavaScript.

สุขใดไหนจะปาน …เบียร์นุ่ม ๆ เย็น ๆ + เพลงสบาย ๆ

ใครจะเป็นเหมือนฉัน บ้าง..

ไปกัน ม๊า…